โรงแรมคืออะไร และการแบ่งโรงแรมประเภทต่างๆ



โรงแรมคืออะไร จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
โรงแรม หมายถึง สถานที่ประกอบการเชิงการค้าที่นักธุรกิจตั้งขึ้น เพื่อบริการผู้เดินทางในเรื่องของที่พักอาศัย อาหาร และบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพักอาศัยและเดินทาง หรืออาคารที่มีห้องนอนหลายห้อง ติดต่อเรียงรายกันในอาคารหนึ่งหลังหรือหลายหลัง ซึ่งมีบริการต่าง ๆ เพื่อความสะดวกของผู้ที่มาพัก ซึ่งเรียกว่า “แขก” (guest)

คำว่า hotel หรือ โรงแรมมีที่มาจากภาษาฝรั่งเศสซึ่งแปลว่า คฤหาสน์ โรงแรมแห่งแรกในยุโรปคือ Hotel de Hanri IV (โฮเทล เดอ อองรี กัต) เมื่อปี ค.ศ. 1788 โดยในสมัยก่อนใช้คำว่า h?tel และภายหลังได้เปลี่ยนตัวโอมาเป็นโอปกติในภาษาอังกฤษเป็น hotel เหมือนปัจจุบัน

ประเภทของโรงแรม
การแบ่งประเภทของโรงแรมสามารถแบ่งได้หลากหลายรูปแบบ แต่ต่อไปนี้จะแบ่งตามจุดประสงค์ของโรงแรม

โรงแรมธุรกิจ
โรงแรมประเภทนี้มักจะตั้งอยู่กลางใจเมือง ในเขตธุรกิจ มีจุดประสงค์ให้บริการนักธุรกิจเป็นหลัก และนอกจากนั้นมักจะนิยมใช้เป็นที่จัดงานประชุม หรือ งานเลี้ยง จะมีการบริการที่หรูหรา แต่ช่วงเวลาที่แขกจะเข้าพักมักจะสั้นๆ

โรงแรมท่าอากาศยาน
โรงแรมประเภทนี้จะตั้งอยู่ใกล้ๆกับสนามบิน แขกที่เข้าพักจะเป็นพวกนักทัศนาจรที่มารอต่อเครื่องบิน การเข้าพักมักจะเป็นช่วงสั้นๆ ไม่ค้างคืนเกิน 1 วัน หรือในบางกรณีก็จะเป็นนักธุรกิจที่มาเข้าพักแบบโรงแรมธุรกิจก็เป็นได้

โรงแรมพักอาศัย
โรงแรมประเภทนี้ มักจะเป็นโรงแรมที่เปิดให้เข้าพักเป็นระยะเวลานานๆ 1 เดือนขึ้นไป มีลักษณะคล้ายคอนโดมิเนียมที่มีบริการแบบโรงแรม เพียงแต่ความหรูหราอาจไม่เทียบเท่า

———————————————–

โรงแรมเพื่อการพักผ่อน (รีสอร์ต)
โรงแรมประเภทนี้มักจะตั้งอยู่ต่างจังหวัด ในภูมิประเทศที่ดี ห้องพักมักจะแยกเป็นส่วนๆ เป็นบ้านหรือหลังคาเรือนแยกต่างหาก ในโรงแรมจะมีกิจกรรมต่างๆมากมาย เช่น การปั่นจักรยาน เล่นกอล์ฟ ขี่ม้า เดินป่า สปา เพราะจุดประสงค์ของแขกที่เข้าพักโรงแรมประเภทนี้คือการพักผ่อนเป็นหลัก ระยะเวลาเข้าพักจึงมีระยะเวลาในช่วง 5-7 วัน การบริการจะเป็นแบบสบายๆ เป็นกันเอง

โรงแรมคาสิโน
โรงแรม เอ็มจีเอ็ม แกรนด์ ในลาส เวกัส
โรงแรมประเภทนี้จะมีบริการที่หรูหรามาก ห้องพักสวยงาม มีราคาแพง แขกที่เข้าพักจะเข้ามาเล่นการพนันเป็นส่วนใหญ่ โรงแรมประเภทนี้จะดึงดูดลูกค้าด้วยการพนัน ความบันเทิง โรงแรมชนิดนี้ไม่มีในประเทศไทยเนื่องด้วยกฎหมายการพนันเป็นสิ่งผิดกฎหมาย แต่แม่แบบที่ชัดเจนคือลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา

โรงแรมประเภทที่พักและอาหาร (เกสต์เฮาส์)
โรงแรมชนิดนี้จะเป็นโรงแรมที่มีเพียงห้องพักและอาหารเช้าเท่านั้น ไม่มีการบริการอะไรมากนัก เหมาะกับนักเดินทางที่มีงบที่จำกัด ราคาห้องพักย่อมเยา แขกส่วนหนึ่งก็ชอบเพราะมีความเป็นกันเองดี

โรงแรมบังกะโล
โรงแรมชนิดนี้จะมีเพียงที่พักให้เช่าในราคาประหยัดมาก แต่ไม่มีอาหารบริการให้ นักท่องเที่ยวต้องเตรียมมาเอง ในบางโรงแรมประเภทนี้จะมีพื้นที่เตรียมให้ทำอาหารไว้ให้

โมเทล
เกิดขึ้นในประเทศอเมริกา ซึ่งนักเดินทางที่ต้องขับรถระยะไกลๆ แล้วต้องการที่พักที่สามารถเอารถไปจอดได้ที่ห้องพักของตน แขกที่เข้าพักจะพักระยะเวลาสั้นๆ เพียงข้ามคืน ส่วนใหญ่มักอยู่ริมทางหลวง
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%A1

———————————————–

โรงแรมสไตล์บูติคโฮเทลคืออะไร และเกิดขึ้นได้อย่างไร
เชื่อกันว่า โรงแรมบูติกเกิดครั้งแรกในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษราว 20 กว่าปีมาแล้ว ซึ่งในช่วงเวลานั้น เป็นเวลาที่โรงแรมเชน (chain hotel) ซึ่งเน้นความหรูหราและมีขนาดใหญ่ เป็นแบบ conventional หรือ business hotel รุก เข้าสู่ลอนดอนและยุโรปอย่างหนัก และเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าตลาดโรงแรมของยุโรปและของโลกตอนนั้นเป็นการแย่งชิงพื้นที่กันเอง ระหว่างโรงแรมเชนซึ่งส่วนมากมาจากอเมริกา โดยแข่งกันที่จำนวนห้อง ความหรูหรา และบริการด้วยมาตรฐานความสะดวกสบายครบวงจร (บางครั้งก็เกินความต้องการ)

ขณะที่ไลฟ์สไตล์ของนักเดินทางยุคใหม่เริ่มเปลี่ยนแปลงสวนทางและหลากหลายมาก ขึ้น ความคาดหวังจากการเดินทางไม่ใช่แค่ความสะดวกสบาย และการได้สัมผัสกับแหล่งท่องเที่ยว แต่เป็น “ประสบการณ์” การเดินทางที่แตกต่าง ดังนั้น โรงแรมของคนกลุ่มนี้จึงไม่ใช่เพียงสถานที่หลับนอน แต่จะเป็นส่วนหนึ่งในประสบการณ์เดินทาง สำหรับโรงแรมเชนที่เน้นความมีมาตรฐานเดียวกันทุกแห่งทั่วทุกมุมโลก จึงไม่ใช่คำตอบของนักเดินทางกลุ่มนี้ซึ่งนับวันจะยิ่งเพิ่มมากขึ้นตามจำนวน ผู้บริโภคที่นิยมความเป็นปัจเจก

โรงแรมขนาดเล็กที่ใช้เงินทุนไม่มาก แต่ชดเชยด้วยการลงทุนทางด้านความคิดสร้างสรรค์ในการดีไซน์ และการใส่ใจในเรื่องบริการทดแทน จึงเป็นทางออกที่ลงตัวสำหรับเจ้าของเงินทุนรายเล็ก ในการแข่งขันกับโรงแรมเชนที่มีอำนาจทุนและการตลาดมากกว่า และตอบสนองต่อไลฟ์สไตล์ของนักท่องเที่ยวยุคใหม่ได้ดีกว่า จึงกลายเป็น “โรงแรมทางเลือก” สำหรับนักเดินทางยุคใหม่ที่แสวงหาประสบการณ์ที่แตกต่าง โดยอเมริกาเป็นชาติแรกที่เรียกโรงแรมลักษณะดังกล่าวด้วยคำคุณศัพท์ “บูติก”

ในช่วง 5-7 ปี ที่ผ่านมา โรงแรมบูติกเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว กระจายตัวทั่วทุกมุมโลก และได้รับความนิยมทั่วโลก ทั้งนี้เพราะทัศนคติการแสดง “ตัวตน” ผ่านโรงแรมที่เข้าพักดังคำกล่าว “you are where you stay” และไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายของนักเดินทางจึงเกิดโรงแรมบูติกที่มีความหลากหลาย (โดยเฉพาะเรื่องการดีไซน์) เพื่อ ตอบสนองกับไลฟ์สไตล์และ “ตัวตน” ที่แตกต่างของนักเดินทางแต่ละกลุ่ม ซึ่งส่วนใหญ่นิยมจับกลุ่มนักเดินทางระดับบนเพื่อขยับราคาเป็น “premium-priced hotel”

อานุภาพของระบบอินเทอร์เน็ตที่ก้าวหน้าและครอบคลุมมากขึ้น ทำให้นักเดินทางจากทุกมุมโลกรู้จักและเข้าถึงการจองของโรงแรมบูติกเหล่านี้ ได้มากขึ้นตามไปด้วย ประกอบกับบริษัทที่ให้บริการด้านเทคโนโลยีการจองและการตลาดเพื่อกลุ่มโรงแรม บูติกที่มีมากขึ้น ล้วนเป็นปัจจัยบวกต่อกระแสนิยมโรงแรมบูติก

สำหรับประเทศไทย บอกต่อกันมาว่าโรงแรมบูติกมีมาแล้วร่วม 10 ปี แต่โรงแรมที่อ้างตัวเองเป็น “บูติก” หลายแห่งมักมุ่งเน้นแค่การดีไซน์ และไม่ใส่ใจกับคอนเซ็ปต์เน้นเรื่องบริการในสไตล์โรงแรมบูติก เจ้าของโรงแรมบางแห่งยังเข้าใจผิดว่า ดีไซน์ของโรงแรมบูติกคือ สไตล์บาหลี หรือสไตล์ minimalist เท่านั้น และบางแห่งก็ลอกเลียนแบบดีไซน์มาจากโรงแรมอื่น จึงขาดบุคลิกความเป็นตัวเอง ซึ่งเป็นคอนเซ็ปต์สำคัญของ “โรงแรมบูติก”
ที่มา http://www.positioningmag.com/Magazine/Details.aspx?id=25027

———————————————–

คำว่า “โรงแรมจิ้งหรีด” หมายถึงอะไร
คำว่า”โรงแรมจี้งหรีด”หมายถึงโรงแรมขนาดเล็กมากมี เตียงที่นอนเดียว กว้างประมาณ 2.5-3 ฟุต มีห้องสุขาเล็กๆอยู่ด้วย โดยส่วนใหญ่โรงแรมประเภทนี้จะอยู่ตามต่างจังหวัด มีไว้สำหรับ เซลล์แมนที่เดินสายขายสินค้าตามต่างจังหวัดเช่าพัก เพราะมีราคาถูก แต่ในปัจจุบันไม่ค่อยมีให้เห็นแล้ว เนื่องจากแต่ละที่จะพัฒนาเป็นโรงแรมที่มีมาตรฐานขึ้น ถ้ายังนึกไม่ออกให้ดูเกรสเฮาส์ Single Roomที่ถนนข้าวสาร บางลำภู
ที่มา: http://th.answers.yahoo.com/question/index?qid=20070627004201AAhlUOX

———————————————–

การแบ่งประเภทห้องพักของโรงแรม
ประเภทห้องพักกับเรื่องของขนาดเตียงนั้นทำให้หลาย ๆ คนอาจจะสับสน ดังนั้นท่านที่สนใจเรื่องของประเภทห้องพักนั้นควรเรียนรู้เรื่องขนาดของ เตียงคราว ๆ ก่อน เพื่อความเข้าใจที่ถ่องแท้เรื่องประเภทห้องพัก

ประเภทห้องพักโรงแรม มักมี ประเภท
1.Single Room คือห้องพักที่มีเตียงเดี่ยว (a single bed) 1 หลัง ห้องประเภทนี้เหมาะสำหรับพักคนเดียวค่ะ
2.Twin Room ห้องพักที่มีเตียงเดี่ยว 2 หลัง ส่วนใหญ่แล้วเตียงจะวางแยกกัน สำหรับแขกเพียง 2 ท่าน อาจเป็นเพื่อน ญาติพี่น้อง หรือใครที่เราสามารถนอนห้องเดียวกันได้ แต่ถ้าเป็นคู่รักมักจะพักห้อง double room
3.Double Room เป็นห้องพักที่มีเตียงขนาดใหญ่ขึ้นจาก Single Room พักได้ 2 ท่าน
4.Triple Room เป็นห้องพักไว้สำหรับแขกจำนวน 3 ท่าน มักมีเตียงขนาดใหญ่ 1 หลัง และเตียงเดี่ยวอีก 1 หลัง ค่ะ
5.Quadruple Room ห้องพักสำหรับ แขก 4 ท่าน ค่ะ มักมีเตียงขนาดใหญ่ 2 หลัง
6.Studio ห้อง studio หมายถึงห้องที่มีเตียงนอน ห้องนั่งเล่น (parlor) โต๊ะรับประทานอาหาร ฯลฯ อยู่ในตัว โดยที่ไม่ได้แยกห้องออกไป คำนี้ใช้บ่อยกับ apartment หรือ คอนโดมิเนียมค่ะ
7.Connecting Rooms ห้องพัก 2 ห้องที่สามารถเดินทะลุถึงกันได้ มักมีประตูตรงกลางระหว่าง 2 ห้องนั้น
8.Suite ห้อง สวีท ไม่ได้อ่านว่าห้องสูท อย่างที่ใครหลาย ๆ คนเข้าใจนะคะ ห้องประเภทนี้เรื่องราคาไม่ต้องพูดถึง เเพงแน่นอนค่ะ แต่ถ้าเป็นช่วงโปรโมชั่น หรือช่วงจัดรายการของทางโรงแรม คนธรรมดาอย่างเรา ๆ ก็สามารถพักได้เหมือนกันนะคะ เก็บเงินกันหน่อย ห้อง suite แต่ละที่อาจไม่เหมือนกันซะทีเดียวนะคะ บางที่อาจเป็นห้องเดียวแต่มีขนาดใหญ่ หรือบางที่อาจมีห้องแยกสำหรับห้องนอน (bedroom) ห้องนั่งเล่น (parlor) ห้องครัว (kitchen) แต่สิ่งที่เหมือนกันก็คือการตกแต่งอย่างหรูหรา และงดงามค่ะ
9.Cabana คือห้องพักที่มักอยู่ติดกับสระว่ายน้ำ หรือใกล้สระว่ายน้ำ (pool) และอยู่แยกกับอาคารหลักของโรงแรม บางที่ก็เก๋ดีนะคะสร้างเป็นแบบกระท่อมริมน้ำ ได้บรรยากาศไปอีกแบบค่ะ ที่มา http://hotelllllllinformation.blogspot.com/2009/07/blog-post.html

เรียบเรียงโดย bkkth.com

Leave a Reply